การใช้ IT อย่างชาญฉลาด เพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ

ผศ.สุพล  พรหมมาพันธุ์

คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ  มหาวิทยาลัยศรีปทุม

                        ด้วยสมัยปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที มีความทันสมัยกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก สื่อการเรียนรู้ก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบทั้งบนอินเทอร์เน็ตและสื่อมัลติมีเดียประเภทต่างๆ คนหรือเด็กในสมัยนี้จึงน่าจะเก่งกว่าคนรุ่นก่อนๆ มาก โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษ แต่ข่าวที่ออกมากลับไม่เป็นเช่นนั้น กลายเป็นว่า คนในสมัยนี้อ่อนเรื่องภาษาอังกฤษมาก แทบจะรั้งท้ายในประเทศแถบอาเซียน จากบทความของ   คุณตะวัน หวังเจริญวงศ์ ที่เขียนในเว็บไซต์ www.ditp.go.th ความว่า จากการจัดทำดัชนีความสามารถทางภาษาอังกฤษ ปี 2558 ของสถาบันภาษา เอดูเคชั่น เฟิร์ส (อีเอฟ) โดยประเมินจากประชากรอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 9.1 แสนคน ใน 70 ประเทศทั่วโลกที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ พบว่าไทยได้ 45.35 คะแนน คิดเป็นอันดับที่ 62 ของโลก ตกลงมาจากอันดับที่ 48 ในการสำรวจปี 2557 เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน พบว่าไทยอยู่อันดับ 5 จากประเทศที่ได้รับการสำรวจในอาเซียน 6 ประเทศ สูงกว่าประเทศเดียวคือ กัมพูชา นี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก จึงเป็นการบ้านโจทย์ใหญ่ สำหรับครูและอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษต้องหาแนวทางที่ดีในการสอนภาษาอังกฤษกันต่อไป เช่น การใช้ไอที (Information Technology: IT) อย่างชาญฉลาดเพื่อเป็นเครื่องมือให้เด็กไทยเก่งภาษาอังกฤษมากขึ้น เมื่อครั้งสมัยก่อน สื่อการเรียนการสอนมีเพียงหนังสือ วิทยุโทรทัศน์ และเทปคลาสเซ็ทเท่านั้น ซึ่งฟังกันจนเทปยาน และบางครั้งก็ได้ยินคนเคยพูดกันว่า คนนั้นท่องดิกชั่นเนอร์รี่ของสอ เสถบุตร จบเป็นเล่มๆ ส่วนหนึ่งก็มีความเชื่อว่า การท่องจำคำศัพท์ได้มาก จะทำให้เก่งภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะเรื่องการสนทนาภาษาอังกฤษ คราวนี้ลองหันมาดูเรื่อง “การใช้ IT อย่างชาญฉลาด เพื่อการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ” ซึ่งในปัจจุบันมีสื่อและเครื่องมือมากมายหลายชนิดที่ช่วยให้การเรียนรู้ภาษาอังกฤษมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น พอประมวลได้ดังนี้ คือ:

  1. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) คือ สื่อการเรียนการสอนโดยใช้เครื่อง

คอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่ง ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ อันได้แก่ ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง กราฟิกส์ แผนภูมิ กราฟ   วีดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว เป็นลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือสามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ เป้าหมายก็คือ กระตุ้นและสร้างความน่าสนใจให้กับผู้เรียนไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายในการเรียนรู้ อาจจะอยู่ในรูปแบบของแผ่น ซีดี หรือ ดีวีดี

  1. อีเลิร์นนิ่ง (Electronic Learning: e-Learning) คือ รูปแบบการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครือข่าย

อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กทราเน็ต ตลอดจนสัญญาณโทรทัศน์และดาวเทียม ใน e-Learning อาจารย์ผู้สอน สามารถใส่เนื้อหาสื่อการสอนลงไป ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ วิดีโอ แบบฝึกหัด รวมถึงการมีสภาฟอรั่ม (Forum) ให้สามารถโต้ตอบกันได้ และสะดวกในการเรียน เข้าถึงได้ง่าย ปรับปรุงใหม่ได้ง่าย ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง สามารถทบทวนได้หลายๆ รอบ ใช้ฝึกทักษะได้ดีทั้งการฟังและการอ่านภาษาอังกฤษ

  1. อิเล็กทรอนิกส์บุ๊ค (Electronic Book:e-Book) คือ การนำเอาเนื้อหาที่มีอยู่ในหนังสือ นำมาใส่ไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ ที่สามารถเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อาจเพิ่มลูกเล่นใส่สื่อผสมหลายอย่างเข้าไปเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ เช่น วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหว สามารถเปิดอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา อีบุ๊คในปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถใช้งานได้ง่ายสะดวก ไม่ต้องพกพา ใช้งานได้ทั้งบนสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต
  2. เว็บบล็อกและออนไลน์คอร์ส (Weblog and Online Course) Weblog หรือ Blog มาจากคำว่า Web + log 2 คำรวมกัน  Web คือ Website หรือ World Wide Web (WWW) ส่วนคำว่า Log มาจากคำว่า  บันทึก บางทีก็ใช้คำว่า Blog เป็นกิริยา หมายถึงการดูแลรักษา (Maintain) หรือ  การสร้างเนื้อหาลงในบล็อก  ส่วนคนเขียนเล่าเรื่องเรียกว่า Blogger  ตำนานเริ่มแรกของการเขียน Weblog ส่วนใหญ่เป็นการเล่าเรื่องชีวิตครอบครัวประสบการณ์ของตนเอง คล้ายกับการเขียนบันทึกไดอารี่ (Diary) ประจำวัน เพื่อบันทึกความทรงจำอันดีของตนเอง และเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม (อัลไซเมอร์) ด้วย  เว็บบล็อกสามารถนำมาช่วยในเรื่องของการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้ ผู้สอนสามารถใส่เนื้อหาหรือ Contents การสอนลงไปได้ และสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนได้

62 it For learning 1

ส่วนออนไลน์คอร์ส คือ การเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ผ่านคอร์ส ที่มีการเปิดรับสมัครให้ลงทะเบียนเรียนทางออนไลน์ มีหลายประเภท เช่น ภาษาอังกฤษทั่วไป, ภาษาอังกฤษเพื่อการท่องเที่ยว, ภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ, ภาษาอังกฤษสำหรับการเตรียมสอบ TOEFL, TOEIC  มีทั้งแบบเรียนฟรี และเสียเงิน ลักษณะของออนไลน์คอร์ส คือ มีเนื้อหาที่เป็นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มีแบบทดสอบให้ฝึกหัดทำ มีวิดีโอประกอบการเรียน

62 it For learning 2

  1. เพลงคาราโอเกะ (Karaoke Song) เพลงคาราโอเกะ ช่วยในการเรียนภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างมาก และเก่งได้เร็ว เพราะในบทเพลงจะมีตัวหนังสือขึ้นให้ร้องไปด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษ และมีใจรักในเสียงเพลง เนื่องจากไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย จดจำเนื้อเพลงได้เร็วและสามารถร้องได้หลายรอบจนกว่าจะหมดแรง และปัจจุบัน มีแอพพลิเคชั่นเพลงคาราโอเกะนี้ขึ้นมา ที่เรียกว่า Smule Sing Karaoke ผู้ร้องสามารถร้องเพลงคู่กับนักร้องที่ตัวเองชื่นชอบ อย่างเช่น น้องกวาง อาริศา ร้องเพลง Flashlight คู่กับ Jessie J นักร้องาสาวชาวอังกฤษ ซึ่งมีผู้คนเข้าไปติดตามชมกันมากเป็น 6-7 แสนวิว (Credit: ivory hanna, www.youtube.com/watch?v=FN69wgIDvAU, Published on Jun 16, 2015 and www.itong2go.com)
  1. ภาพยนตร์ซาวแทรค (Soundtrack Movies) คือ การฟังบทพูดหรือสนทนาในภาพยนตร์เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการช่วยฝึกฝนการเรียนภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี ถ้าฟังไม่ค่อยออกหรือฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ยังไม่เป็นไร เพราะถ้าหัดฟังหลายๆ รอบ และพยายามเดาและตีความหมาย เดี๋ยวก็เริ่มรู้เรื่องและเข้าใจไปเอง วิธีนี้ใช้ได้ดีมาก เพราะมีภาพ เสียง บรรยากาศต่างๆ ทำให้สามารถจดจำเนื้อเรื่องได้อย่างติดตาติดใจ และทำให้รักภาษาอังกฤษ เข้าใจภาษาอังกฤษได้ดีและเร็วขึ้น เช่น การชมภาพยนตร์เรื่องคนเหล็ก (Terminator)
  2. โซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ คือ การสร้างชุมชนออนไลน์ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้สามารถขจัดอุปสรรคในเรื่องของเวลา ระยะทางไกล และความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ประชาชนทั่วไปสามารถมีปฏิสัมพันธ์ออนไลน์กับบุคคลอื่นๆ ได้ ด้วยการแบ่งปันความคิดเห็น เชาว์สติปัญญา สารสนเทศเรื่องราวที่สนใจ และประสบการณ์ชีวิต สมาชิกในเครือข่ายอาจจะใช้เว็บไซต์ทำการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนร่วมงานที่พวกเขารู้จัก ใช้เป็นช่องทางสร้างความสัมพันธ์กับคนที่เป็นมืออาชีพในด้านต่างๆ อีกมากมาย เช่น Facebook, Twitter, YouTube, Line การใช้ทวิตเตอร์นับว่าเป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่ง ในการพัฒนาภาษาอังกฤษ เพราะในทวิตเตอร์จะเป็นการใช้ประโยคสั้นๆ เพียง 140 ตัวอักษร ในทวิตเตอร์ จะทำให้เราสามารถพัฒนาภาษาอังกฤษจากประโยคสั้นๆ ได้ อย่างบ่อยครั้ง ทวิตเตอร์จะมีการใช้งานและอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะทำให้เรารู้ศัพท์ใหม่ๆ และแนวโน้มต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยพัฒนาคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างดีและรวดเร็ว ส่วนใน YouTube ปัจจุบัน มีการใส่เนื้อหาวิดีโอการเรียนภาษาอังกฤษไว้มากมาย ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการเรียนอย่างยิ่ง

ขอยกตัวอย่างคุณสมคิด ลวางกูร นักเขียน และคนสู้ชีวิต เขาตั้งเป้าหมายและเรียนภาษาอังกฤษของเขาเอาไว้ว่าเ ขาจะต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ เขาจะต้องไปเที่ยวต่างประเทศให้ได้ และเขาก็ทำได้สำเร็จ เขาบอกเคล็ดลับการเรียนภาษาอังกฤษเอาไว้ว่า “ถ้าเราจำรูปประโยคเพียงประโยคเดียวได้ เราจะสามารถพูดได้ …20 ประโยค ถ้าเราจำรูปประโยคได้ 100 ประโยคเราจะพูดได้มากกว่า 2, 000 ประโยค ในหนังสือสนทนาภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง มีถึง 200-300 ประโยค เราจะสามารถพูดได้ถึง 4,000-6,000 ประโยค โดยนำรูปประโยคเดิม…มาเปลี่ยนศัพท์ หัว… ท้าย”  เช่น I am going to school, play football, visit my friend, the airport, the post office, buy some food, the market เป็นต้น

                ดังนั้น จะเห็นได้ว่า บทบาทของไอที กับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ  ทำให้เราเห็นว่า แนวทางที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที มาเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษนั้น เป็นเรื่องที่ช่วยได้มาก และทำให้ประหยัดเวลาในการเรียนรู้ ฝึกทักษะได้อย่างรวดเร็ว เพราะเครื่องมือจะช่วยทุ่นแรงได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่า ผู้ใช้จะมองเห็นประโยชน์ส่วนดีจากตรงนี้หรือไม่เท่านั้น หากได้นำไอทีมาใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าจริงๆ น่าจะช่วยยกระดับความรู้ความสามารถในเรื่องภาษาอังกฤษของคนไทยได้ดีขึ้น.

µµµµµ